การศึกษาในชนบท
การศึกษา
การศึกษาในชนบท จัดทำโดย นายศิริชัย เพ็งบูรณ์ (โก๊ะ)

เมื่อพูดถึงการศึกษาในชนบทนั้น หลายคนอดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมถึงได้มีความแตกต่างกับการศึกษาในตัวจังหวัดหรือในกรุงเทพมหานคร เนื่องด้วยโรงเรียนในตัวชนบทนั้นห่างไกลความเจริญบ้าง ล้าหลังบ้าง บ้านป่าบ้านเขาบ้าง(นี้คือความคิดของคนทั่วไป) แต่จริงๆแล้ว ที่ทำให้โรงเรียนในตัวจังหวัดหรือในกรุงเทพมหานครมีความทันสมัย และมีความเจริญมากกว่าก็เพราะในตัวเมืองหรือตัวจังหวัดนั้นมีความพร้อมในทุกๆ อย่าง ไม่ว่าจะเป็นหนังสือเรียน สื่อการเรียนการสอน อุปกรณ์ต่างๆ อีกทั้งหากมีโครงการหรือกิจกรรมดีๆ อะไร ส่วนใหญ่โรงเรียนในตัวเมืองจะได้รับก่อนเสมอ และโรงเรียนในตัวเมืองนั้นยังได้รับการสนับสนุนจากฝ่ายต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นจากรัฐและเอกชน ส่วนโรงเรียนในชนบทมีโอกาศน้อยที่จะได้รับอะไรดีๆ
ถึงโรงเรียนในชนบทจะไม่ได้รับอะไรดีๆ จากภายนอกสักเท่าไหร่ แต่ในทางกลับกันก็ยังมีเรื่องดีๆ เกิดขึ้นอยู่ เนื่องจากโรงเรียนในชนบทไม่ได้รับการสนับสนุนจากภายนอก จึงต้องหาแนวทางหรือวิธีแก้ไขเพื่อให้โรงเรียนอยู่รอดและนักเรียนจะต้องมีความรู้และเอาตัวรอดได้ในโลกปัจจุบันที่มีการพัฒนาและการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลานั้นก็คือทางโรงเรียนจะเน้นในเรื่องของอาชีพเป็นหลักมากว่าวิชาการเพื่อให้นักเรียนที่จบออกไปสามารถนำความรู้เหล่านี้ไปใช้ทำมาหากินเลีั้ยงปากท้องของตัวเองและครอบครัว
แต่ถ้าทางรัฐบาลจัดให้ทุกโรงเรียนมีมาตรฐานหรือความเท่าเทียมกันในทุกโรงเรียนและทุกพื้นที่อย่างจริงจังก็จะทำให้นักเรียนจบออกมาอย่างมีมาตรฐานและสามารถลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาของสังคมในปัจจุบันได้
สำหรับนักเรียนในชนบทการเรียนสายสามัญกับสายอาชีพจะเลือกเรียนสายไหน?
ตอบ ส่วนตัวจากที่เคยผ่านจุดๆ นี้มามันจะมีแนวคิดอยู่ 3 แบบ คือ แบบที่หนึ่งสำหรับนักเรียนที่คิดว่าสายสามัญดีกว่าสายอาชีพก็เพราะเขาอาจจะมีเป้าหมายในอาชีพที่จะต้องเรียนในสายสามัญหรือคิดว่าการเรียนในสายสามัญนั้นดูดีมีเกียรติกว่าสายอาชีพจะมีนักเรียนที่มีแนวคิดแบบนี้ประมาณ 40% แบบที่สองคือนักเรียนที่เลือกสายอาชีพอันเนื้องด้วยอยากที่จะ เรียนเพื่อนำความรู้นั้นไปประกอบอาชีพในอนาคตและบางคนก็เรียนเพื่อครอบครัวอันเนื่องจากสถานะภาพทางการเงินของครอบครัวไม่เอื้อต่อการเรียนในระดับอุดมศึกษามีนักเรียนคิดแบบนี้ประมาณ 40% และแบบสุดท้ายคือแบบที่สามคือ ไม่ลือกเรียนต่อทั้งสองสาย และเลือกที่จะทำงานเลยอันด้วยเหตุผลส่วนตัวมีนักเรียนคิดแบบนี้ประมาณ 20%
"ปัญหาโรงเรียนขนาดเล็กที่ต้องเร่งรัดแก้ไข"
ปัจจุบันประเทศไทยมีโรงเรียนสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน( สพฐ. )จำนวน 31,508 โรง เป็นโรงเรียนระดับประถม 29,054 โรง ระดับมัธยม 2,361 โรง โรงเรียนศึกษาสงเคราะห์ 50 โรง และโรงเรียนพิเศษ 43 โรง สำหรับโรงเรียนระดับประถมมีโรงเรียนที่มีนักเรียนน้อยกว่า 120 คนจำนวน 14,397 โรง หรือเกือบครึ่งหนึ่งของโรงเรียนประถมทั้งหมด และมีนักเรียนน้อยกว่า 60 คนจำนวน 8,992 โรง มีนักเรียนน้อยกว่า 40 คนจำนวน 2,799 โรง
โรงเรียนขนาดเล็กเหล่านี้มีปัญหาที่สำคัญหลายประการคือ
1.งบประมาณไม่พอเพียงสำหรับการจัดการศึกษาให้มีคุณภาพ เพราะโรงเรียนจะได้งบประมาณตามจำนวนหัวของนักเรียน เมื่อจำนวนนักเรียนน้อยงบประมาณที่ได้รับก็น้อยตามไปด้วย ทำให้มีปัญหาขาดแคลนทั้งครุภัณฑ์และอุปกรณ์การเรียนการสอนที่จำเป็น โดยเฉพาะการขาดแคลนหนังสือเรียนและสมุดแบบฝึกหัด
1.งบประมาณไม่พอเพียงสำหรับการจัดการศึกษาให้มีคุณภาพ เพราะโรงเรียนจะได้งบประมาณตามจำนวนหัวของนักเรียน เมื่อจำนวนนักเรียนน้อยงบประมาณที่ได้รับก็น้อยตามไปด้วย ทำให้มีปัญหาขาดแคลนทั้งครุภัณฑ์และอุปกรณ์การเรียนการสอนที่จำเป็น โดยเฉพาะการขาดแคลนหนังสือเรียนและสมุดแบบฝึกหัด
2.จำนวนครูไม่ครบชั้น และไม่ครบสาระวิชาตามหลักสูตร ปัจจุบันครูระดับประถมศึกษาทั้งระบบก็อยู่ในสภาวะขาดแคลนอยู่แล้ว ดังนั้นโรงเรียนขนาดเล็กจึงได้รับอัตราครูตามสัดส่วนของนักเรียนเท่านั้น โดยมิได้คำนึงถึงจำนวนชั้นและจำนวนสาระวิชาที่มีในหลักสูตรแต่อย่างใด ปัจจัยนี้มีผลกระทบต่อคุณภาพการศึกษามากที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งการมีครูไม่ครบชั้นทำให้ครูดูแลนักเรียนไม่ทั่วถึง และการมีครูไม่ครบสาระวิชาทำให้ครูต้องสอนในวิชาที่ตนเองไม่มีความเชี่ยวชาญ
3.ขาดโอกาสที่จะได้เรียนรู้การใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่เช่นคอมพิวเตอร์เป็นต้น ทั้งนี้เพราะโรงเรียนขาดแคลนงบประมาณและขาดแคลนครูที่มีความรู้ในการใช้เทคโนโลยีดังกล่าว และโรงเรียนบางส่วนอยู่ในถิ่นทุรกันดารที่ไม่มีไฟฟ้าเข้าถึง
4.ผู้ปกครองเด็กขาดความเอาใจใส่ลูกหลานของตน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กบางส่วนถูกพ่อแม่ทิ้งให้อยู่กับปู่ย่าหรือกับตายายเพื่อไปทำงานในเมือง เด็กเหล่านี้จึงขาดการดูแลอย่างใกล้ชิดทั้งจากครอบครัวและจากครู
ปัญหาดังกล่าวทั้งหมดทำให้เด็กที่ศึกษาอยู่ในโรงเรียนขนาดเล็กกลายเป็นเด็กด้อยโอกาสทางการศึกษาไปโดยปริยาย และเมื่อเติบโตขึ้นมาก็กลายเป็นกำลังคนที่ไม่มีคุณภาพของชาติหรือเป็นได้เพียงแรงงานไร้ฝีมือเท่านั้น
รัฐบาลที่ผ่านมาพยายามจะแก้ไขโดยการยุบโรงเรียนขนาดเล็กและควบรวมเข้าด้วยกัน เพื่อให้โรงเรียนมีจำนวนนักเรียนมากพอที่จะจัดให้มีครูครบชั้น แต่ปรากฎว่าถูกคัดค้านจากผู้ปกครองของเด็กอย่างรุนแรงเพราะเห็นว่าจะทำให้เด็กต้องเดือดร้อนในการเดินทางไปเรียนโรงเรียนที่อยู่ห่างไกล เรื่องการเดินทางไกลของเด็กนักเรียนนี้ได้มีข้อเสนอที่จะให้รัฐบาลจัดรถรับส่งให้เด็กเพื่อเป็นการแก้ปัญหา แต่ดูเหมือนขณะนี้นโยบายการยุบโรงเรียนขนาดเล็กจะถูกระงับไว้ก่อน
ปัญหาโรงเรียนขนาดเล็กถ้าปล่อยทิ้งไว้โดยไม่เร่งรัดแก้ไขอย่างจริงจังจะทำให้เด็กที่ต้องอยู่ในระบบนี้กลายเป็นเด็กด้อยโอกาสที่ได้รับการศึกษาที่ไม่มีคุณภาพและต้องออกจากระบบการศึกษาในที่สุด อนาคตของเด็กกลุ่มนี้จะกลายเป็นแรงงานไร้ฝีมือที่อยู่ในกลุ่มคนยากจนเป็นส่วนใหญ่ ส่วนครูที่ต้องสอนอยู่ในโรงเรียนเหล่านี้ก็จะกลายเป็นครูที่ขาดขวัญกำลังใจ ท้อแท้และสิ้นหวังที่ตนเองถูกทอดทิ้งให้ต้องทำงานอยู่ในสภาพที่ขาดแคลนและไร้อนาคต
การแก้ไขปัญหาโรงเรียนขนาดเล็กต้องคำนึงถึงความยั่งยืนและประโยชน์ของนักเรียนและของครูทั้งในปัจจุบันและอนาคต โดยเฉพาะอย่างยิ่งความคุ้มค่าในการลงทุนพัฒนากำลังคนของชาติในระยะยาว
ผมเห็นว่าควรนำความคิดเรื่องโรงเรียนประจำมาใช้ในการแก้ไขปัญหานี้ โดยศึกษาแนวทางการจัดการโรงเรียนประจำของเอกชนที่ดำเนินการอย่างได้ผลอยู่ในปัจจุบันนี้ แล้วนำมาเป็นต้นแบบในการจัดตั้งโรงเรียนประจำของรัฐในพื้นที่ที่มีปัญหาโรงเรียนขนาดเล็กทั่วประเทศ โรงเรียนประจำจะมีคุณสมบัติพิเศษหลายประการ เพราะเด็กต้องอยู่ที่โรงเรียนกับครูทั้งวันทั้งคืน เด็กจะได้รับการดูแลเอาใจใส่จากครูอย่างใกล้ชิดทั้งช่วงเวลาการศึกษาทางวิชาการ การเล่นกีฬาในช่วงเย็น การทำการบ้านและทบทวนความรู้หลังอาหารเย็น เด็กนักเรียนจะถูกฝึกฝนให้เป็นคนมีวินัย มีความรับผิดชอบ เป็นผู้ยึดมั่นในการประพฤติดีปฏิบัติดี ระบบโรงเรียนประจำจะเสริมสร้างให้กระบวนการปลูกฝังอบรมหล่อหลอมกล่อมเกลาให้เด็กมีค่านิยมที่พึงประสงค์อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะเด็กจะได้รับการดูแลเอาใจใส่จากครูที่สอนและครูพี่เลี้ยงอย่างใก้ชิด เด็กจะมีสุขภาพดีทั้งกายและใจ ระบบโรงเรียนประจำจะทำให้เด็กที่ด้อยโอกาสกลายเป็นเด็กที่มีคุณภาพและมีอนาคตทัดเทียมกับเด็กในเมืองที่เคยมีโอกาสดีกว่า
โครงการนี้รัฐบาลจะต้องสำรวจข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับจำนวนประชากรที่เกิดใหม่ในแต่ละพื้นทีให้ชัดเจน เพื่อนำมาเป็นข้อมูลในการจัดตั้งโรงเรียนประจำให้เหมาะสมกับจำนวนเด็กในอนาคต เพราะการจัดตั้งโรงเรียนประจำจะต้องจัดสร้างหอพักให้เด็กที่จะต้องมาอยู่ประจำอย่างพอเพียงด้วย ซึ่งจะมีความคุ้มค่าในระยะยาวมากกว่าการจัดรถรับส่งเช้าเย็นทุกวัน
โครงการนี้รัฐบาลอาจต้องลงทุนมากกว่าปกติในระยะต้นแต่ในระยะยาวจะมีความคุ้มค่ามาก โดยเฉพาะจะมีความคุ้มค่ามากกว่า"นโยบายแจกปลา"ที่ก่อให้เกิดความเสียหายมาแล้วจำนวนมาก ที่สำคัญคือจะเป็นการแก้ไขปัญหาเรื่องคุณภาพการศึกษาของเด็กที่ยั่งยืนอีกด้วย
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ท้าทายความกล้าหาญของผู้นำประเทศที่จะกล้าตัดสินใจทำในสิ่งที่แตกต่างไปจากอดีตหรือไม่???โครงการนี้อาจจะมีปัญหาปลีกย่อยที่ต้องจัดการอีกพอสมควร แต่ก็มีความคุ้มค่าที่ท้าทายเป็นอย่างยิ่ง